文章標籤 ‘泰國道教’ 的彙整
-
ศาสนาเต๋าในประเทศไทยโดยสรุป
泰國道教概述(泰文版)
การย้ายถิ่นฐานของชาวจีนโพ้นทะเลในประเทศไทย (ชาติพันธุ์จีน) เกิดขึ้นตั้งแต่ยุคเฟื่องฟูของสมัยราชวงศ์ถังถึงยุคโจรสลัดญี่ปุ่นก่อกวนในสมัยราชวงศ์หมิง และย้ายถิ่นฐานมายังทะเลจีนใต้มากขึ้นในปลายรัชสมัยราชวงศ์ชิง ซึ่งในการย้ายถิ่นฐานนี้ก็เป็นการนำเอาวัฒนธรรมและความเชื่อในเทพเจ้า(ศาสนาเต๋า)ตามติดออกมาสู่ภายนอกประเทศ การที่ชาวจีนโพ้นทะเลต้องดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับกลุ่มชนต่างชนชาติในต่างแดน แต่พวกเขาก็มีจุดร่วมของการนับถือและการคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอน ก่อให้เกิดกิจกรรมต่างๆร่วมกัน ดังนั้นกิจกรรมในพิธีทางศาสนา การที่พวกเขามีความเชื่อร่วมกันทำให้พวกเขาพร้อมกันจุดธูป คุกเข่ากราบไหว้ สมานสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวฟันฝ่าอุปสรรคและความทุกข์ยาก โดยไม่รู้สึกถึงความโดดเดี่ยว ในสมัยราชกาลที่ 5 พระปิยะมหาราชทรงมีความเมตตาทรงผ่อนปรนกฏบัญญัติต่อชนชาวจีนมาก ในเวลานี้เองทำให้การดำรงชีพของชุมชนชาวจีนมีความมั่นคงขึ้น และสถานะทางสังคมในไทยก็ได้รับการยอมรับมากยิ่งขึ้น จึงทำให้ชุมชนชาวจีนกล้าที่จะลงรากสร้างศาลเจ้าหรือวัด เพื่อแสดงออกถึงความเชื่อถือเทพเจ้าของบ้านเกิดตัวเอง นับระยะเวลามาถึงปัจจุบันมีประวัติซึ่งเกินร้อยปีขึ้นไป และเหล่าศาลเจ้าศาสนาเต๋ายังคงเหลือให้เห็นอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย เช่น
1. ศาลเจ้ากวนตี้อู่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำธนบุรี ป้ายบนประตูศาลจารึกไว้เป็นปี 1781 เชื่อระยะเริ่มก่อสร้างต้องก่อนหน้านี้อีกประมาณหนึ่ง
2. สร้างเมื่อปี 1782 ศาลเจ้าเซวินเทียนซางตี้ตั้งอยู่ที่อยุธยา ป้ายบนประตูศาลจารึกไว้เป็นปี 1842
3. สร้างเมื่อปี 1816 ศาลเจ้าบ้านหม้อ ก็คือศาลปุ้นเถ่ากงบ้านหม้อ
4. สร้างเมื่อปี 1872 ศาลเจ้ากวนตี้ที่เกาะสมุย
5. สร้างเมื่อปี 1854 ศาลเจ้าเซียนกงตลาดน้อย
6. สร้างเมื่อปี 1864 ถนนเจริญกรุงใกล้ปากซอย 63 ศาลเจ้าซินซิ่งกงเทียนจี้
7. สร้างเมื่อปี 1883 ใกล้กับสถานีรถไฟหัวลำโพงถนนไมตรีจิตต์ศาลเจ้าชีเซิ่นมา (ชิกเซียนมา)
8. สร้างเมื่อปี 1892 ถนนสำเพ็งซอยตลอดเก่าศาลกวนตี้
9. สร้างเมื่อปี 1893 ถนนวัดสามปลื้มซอยสำเพ็งศาลซินซิ่ง (ศาลเจ้าจิ่วฮวงจิโต๋เหล่า) และ
10. สร้างเมื่อปี 1902 และศาลเจ้าลวี่ตี้ตั้งอยู่ที่กรุงเทพฯ เป็นต้น
เมื่อย้อนไป 70 ปีก่อนรัฐบาลไทยได้ประกาศนโยบายด้านการศึกษา โดยกำหนดห้ามการเปิดเรียนเปิดสอนภาษาจีนดังนั้น ลูกหลานชาวจีนอายุ 60 ปีลงมาส่วนมากไม่สามารถพูดเขียนภาษาจีนได้แล้ว แม้แต่แซ่ของตัวเองก็ไม่สามารถเขียนได้ ยิ่งแย่ไปกว่านั้นภาษาจีนท้องถิ่นของตัวเองก็ไม่รู้จัก บางคนรู้ว่าตัวเองเป็นลูกหลานคนจีน แต่ไม่ทราบแซ่อะไร เมื่อก่อนศาลเจ้าเต๋าจำนวนมากไม่ได้ใช้ภาษาจีนในการถ่ายทอดรุ่นสู่รุ่น และก็ไม่รู้ว่าศาสนาเต๋าคืออะไร รู้แต่เพียงว่าเหล่าเทพเจ้าในศาลเจ้านั้นนำมาจากทางด้านใต้ของจีน กระทั่งบรรพบุรุษผู้สืบทอดศาลเจ้าในยุคก่อนก็ไม่ได้ทิ้งประวัติใดๆไว้ แต่เพื่อให้ศาลเจ้ายังต้องดำรงคงอยู่ต่อไปจึงค่อยๆปรับตัวไปร่วมกับสีสรรของพุทธศาสนา จึงทำให้พิธีกรรมของศาลเจ้าเต๋าในปัจจุบันก็ได้ใช้พิธีเดียวกันกับพุทธศาสนาสายเถรวาทประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ ในสังคมชาวจีนเองความรู้เกี่ยวกับศาสนาเต๋า นอกจากนักพรตเต๋าและบรรดาศาสนิกชนศาสนาเต๋าซึ่งมีจำนวนน้อยแล้ว คนทั่วไปเข้าใจว่าการ 「ไหว้เจ้า」 หรือ 「ไหว้เหล่าเอี้ย」 ก็คือการ「ไหว้พระ」 และการ 「ไหว้พระ」 ก็คือการ 「ไหว้เจ้า」 หรือ 「ไหว้เหล่าเอี้ย」 ทำให้การ 「ไหว้เจ้า」 หรือ 「ไหว้เหล่าเอี้ย」 กับการ 「ไหว้พระ」 คืออันเดียวกันจนยากที่จะแยกออกจากกัน คนทั่วไปรู้ว่าศาสนาพุทธคืออะไร ใครคือศาสดาของศาสนาพุทธ คนส่วนมากไม่รู้จักศาสนาเต๋า? ใครคือศาสดาของศาสนาเต๋า? และก็ไม่รู้ว่าตัวเองนับถือคือศาสนาเต๋า ต่อความหมายและความป็นมาของการ 「ไหว้เจ้า」 หรือ 「ไหว้เหล่าเอี้ย」 ไม่ชัดเจน เป็นเช่นนี้จากรุ่นสู่รุ่นจวบจนปัจจุบัน ความเข้าใจของสังคมต่อศาสนาเต๋ายิ่งมายิ่งลางเลือน ด้วยเหตุนี้จึงมีความจำเป็นที่จะต้องกล่าวสรุปโดยย่อเกี่ยวกับศาสนาอันเก่าแก่ของเรา-ศาสนาเต๋า
ในฐานะที่เป็นศาสนิกชนของศาสนาเต๋า อันดับแรกจะต้องเข้าใจที่มาที่ไปของความเชื่อถือของเรา ตลอดจน ประวัติศาสตร์ ความหมายและแก่นธรรมคืออะไร? ในโอกาศนี้เรามาร่วมกันศึกษาศาสนาต๋าที่เราเคารพและนับถือ
ศาสนาเต๋าเป็นศาสนาที่เก่าแก่ของชนชาวจีน มีประวัติศาสตร์อันยาวนานนับเวลาถึงปัจจุบันมีอายุได้ 4,711 ปี โดยเริ่มต้นจากราชวงศ์ฮวงตี้ เฟื่องฟูยุคเหลาจื้อในรัชสมัยราชวงศ์โจ พัฒนาเป็นศาสนาโดยจางเต้าจวินในราชวงศ์ฮั่น ศาสนาเต๋าเคารพฟ้าและกราบไหว้บรรพบุรุษเป็นฐาน บนพื้นฐานของความเชื่อนั้นให้ 「เต๋า」 เป็นสภาวะสูงสุด การศึกษาเทพยดาเซียนเป็นแก่นกลาง จวบถึงปัจจุบันมีเนื้อหาที่กว้างขวางและซับซ้อนมาก ภายในนี้รวมถึงภูมิปัญญาของ ชาวบ้านและวัฒนธรรมที่สืบทอดต่อๆกันมา เป็นต้น เป็นศาสนาของชนชาวจีนแต่ดั้งเดิมศาสนาเต๋ามีความเชื่อว่าสรรพสิ่งในใต้เหล้าล้วนแต่มีเทพยดาสิงสถิอยู่ 「ผู้ใดมีเต๋าผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้มีคุณธรรม」 เน้นถึงปุถุชนต้องปฏิบัติธรรม (เต๋า)และสะสมความคุณธรรม ส่งเสริมในชีวิตประจำวันต้องมีเมตตา ประหยัดและอ่อนน้อมถ่อมตน ในการปฏิบัติพัฒนาภายในตนเองนั้นเน้นที่ความสงบสันโดษไม่แก่งแย่ง
ศาสนาเต๋าเคารพนับถือเทพเจ้าหลากหลายองค์ ในจำนวนนี้ต้องนับว่า ซานชิงเป็นเทพแห่งเทพเจ้า นอกจากนั้นยังมีสามเทพแห่งจักรวรรดิ์(เทพฟ้า เทพดินและเทพน้ำ) ตลอดจนถึงเจ้าพ่อเมืองและเจ้าที่เจ้าทาง สังเกตุเห็นว่าในบรรดาเทพเหล่านี้มีที่มาจากฟ้าดิน คนเดินดินบรรลุเซียน รวมถึงบุคคลในประวัติศาสตร์ที่มีบารมี มีความรู้ มีปฏิบัติดีมีคุณธรรมและแพทย์ที่มีผลงานความโดดเด่นเป็นต้น
-
泰國道教概述
泰國華人(中華民族)南移至泰國,可追溯至唐朝的盛唐時期開始,至明朝倭寇亂華和清朝末期更多人往泰國遷移,在遷移時,都會將家鄉的風俗習慣與神明信仰(道教)一同帶往海外。來到泰國的華人,生活在異國的不同民族大家庭之中,他們的共同信仰,把他們對於祖國和故鄉的情結,展現為一種共同的行為。每當舉行大型宗教活動時,共同的宗教信仰使他們一起燒香,一起跪拜,團結和凝聚在一起,使他們在艱苦奮鬥中獲得一種不孤獨的凝聚感情。移民到泰國的華人,一直到五世皇朱拉隆功大帝在位時,政策上對華人特別寬容,此時,華人的生活才開始逐漸趨向穩定,在泰國的社會地位已經開始受到肯定。因此,敢於將家鄉的信仰(道教) 在此紮根,此時修建了大量的廟宇。至今,超過百年歷史的道教古廟還有很多間。如:
1. 建於曼谷吞武裡臨河的關帝武聖廟,廟內有一匾額,題記1781年,相信建廟的時間還要早一些;
2. 建於1782年位於都城牆內的玄天上帝廟,廟內掛有1842年的匾額;
3. 建於1816年的萬望古廟,即萬望老本頭公古廟;
4. 建於1872年的蘇梅島關帝廟;
5. 建於1854年噠叻仔的仙公宮;
6. 建於1864年石龍軍路近63巷口的新興宮天妃聖廟;
7. 建於1883年近華喃蓬火車站邁滴集路的七聖媽廟;
8. 建於1892年三聘街老噠叻巷的關帝古廟;
9. 建於1893年在越三飯路三聘直街的新興壇(九皇及斗姥廟)和
10. 建於1902年的呂帝廟……等等。
七十多年前泰國實施了同化政策,不準民間開辦華校並禁用華文華語。所以,在今天的泰國,很多六十歲以下的華人後裔,大多數都不會講華語寫華文,也有甚至連本身的姓名也寫不出,更槽的是連自己的方言都不懂;有的只知道自己是華人,就不知道姓甚麼。以前很多廟宇都沒有中文文字傳承也不知道道教是甚麼,只知華人神廟眾神是從中國南移帶進來的,甚至早期的華裔神廟,祖先也沒把文史留下。而神廟必須生存下來慢慢一點一點滲入佛教色彩,所以演變成現今的神廟儀式都採用小乘佛教儀式。
泰國是個佛教國家,在華人社會裡,了解道教的人,除了在職道士和少數對道教有認識的信徒外,一般人把「拜神」或「拜老爺」當作「拜佛」,也把「拜佛」當成「拜神」或「拜老爺」,讓「拜神」或「拜老爺」與「拜佛」糾纏在一塊,難解難分。很多人知道佛教是甚麼、佛祖是誰;大部分的人根本不知道甚麼是道教?道祖是誰?也不知道他們所信仰就是道教。對「拜神」或「拜老爺」 的由來與含義不清楚,而且,就這樣一代接一代的傳承下去,直到今天,社會對於道教的了解就越來越模糊,因此,有必要給大家簡單的概述我們的古老宗教–道教。
身為道教徒,首先必須要了解我們的信仰由來,其歷史和教理教義是甚麼?借今天這個機會,和大家一起學習,我們所信仰的道教。
近代大文豪魯迅先生說過,華人的根底全在道教。道教是中華民族的古老宗教,其歷史淵遠流長,距今已有4,711年。源自黃帝,倡於周代老子,成教於漢代的張道陵。道教以敬天祭祖為本,在信仰的基礎上以道為最高境界,神仙學說為中心,從古至今,其內容十分龐雜,裏面含有民間風俗習慣,和文化傳統等………,是中華民族固有的宗教。
道教以天地萬物都有神靈,並謂「道之在我就是德」,強調人一定要修道積德,主張日常生活中要慈愛、節儉、謙讓。在個人修養方面以清靜無為為內修功夫。
道教崇拜的神祇很多,而以三清為首,其下有三官大帝(天官、地官和水官) ,以至城隍、土地之神。其中既有天神、真仙,也有歷史人物,有顯赫權貴,也有著名學者,仁人善士和傑出的醫學家等等。